เศรษฐีใจบุญที่ยิ่งรวยยิ่งให้และยิ่งให้ยิ่งรวย

ต้นเดือนเดือนตุลาคม จะเป็นช่วงเริ่มต้นปิดภาคเรียนแรกของโรงเรียนทั่วประเทศ
ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาหลังจากสอบปลายภาคนักเรียนเสร็จสิ้นลง
และจะเป็นช่วงที่ทั้งคุณครูและนักเรียนจะได้ถือโอกาสพักผ่อนท้ายภาคเรียนไปในตัวด้วยนับไปอีก 20 กว่าวันจนกว่าจะเปิดภาคเรียนใหม่ที่เริ่มเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเช่นกัน
ผมก็ขอถือโอกาสได้พักผ่อนจากงานที่ทำประจำด้วยอีกคนและขอใช้เวลาที่เหลือก่อนจะเริ่มงานอีกครั้ง
คิดแผนการสำคัญบางอย่างเพื่อจะทำต่อไปครับ..


อย่างที่เคยพูดเอาไว้ว่า ผมชอบอ่านนิตยสาร Secret ซึ่งเป็นนิตยสารธรรมะเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว
ใน Secret ฉบับที่ 2 ประจำเดือนกันยายน 2558 ได้ลงเรื่องราวเกี่ยวกับมหาเศรษฐีผู้ใจบุญระดับโลก ตั้งแต่ยุค แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ของสหรัฐอเมริกามาจนถึงอัครมหาเศรษฐีรุ่นปัจจุบันอย่าง วอร์เรน บัฟเฟต์ เศรษฐีตลาดหุ้น และ บิล เกตส์ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ชาวอเมริกันที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี ขออนุญาตเล่าสู่กันฟังนะครับ..

ทั้งสองท่านได้ร่วมกันจัดตั้งโครงการที่ชื่อว่า "The Giving Pledge" หรือ พันธสัญญาแห่งการให้
โดยเชิญมหาเศรษฐีทั่วโลกบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้แก่องค์กรการกุศล และให้เลือกได้ว่าจะบริจาคก่อนหรือเสียชีวิต
หนึ่งคำสัมภาษณ์ที่น่าประทับใจของคุณวอร์เรน บัฟเฟต์ ผมขออนุญาตนำมาบอกเล่านะครับ
เขาได้กล่าวไว้ว่า   "ผมไม่สนใจที่จะให้มรดกของผมตกทอดไปถึงลูกหลาน เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่า ตระกูลของผมจะเป็นมหาเศรษฐีต่อเนื่องไปหลายชั่วอายุคน ยิ่งเมื่อผมเห็นประชากรโลก 6 พันล้านคนยากจนกว่าเรามากมายหลายเท่านัก ผมจะมีความสุขมาก 
หากเพื่อนร่วมโลกได้ประโยชน์จากการให้ของเรา"..


คุณอาซิม เปรม จี มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ประธานบริษัทไวโปร ผู้ส่งออกซอฟแวร์รายใหญ่อันดับ 3
ของอินเดีย ก็ได้บริจาคเงินเพื่อการศึกษาไปแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท



อีกคนก็ แจ็ค หม่า คนนี้ดังมากครับถ้าใครได้ติดตามอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเขา แจ็ค หม่า ได้บริจาคหุ้นให้องค์กรการกุศลต่างๆกว่า 2,400 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทได้..

และอีกคนที่เป็นคนจีนคือ เฉิน กวงเปียว มหาเศรษฐีชาวจีนอีกคน เจ้าของธุรกิจรีไซเคิลรายใหญ่ของจีน และเป็นรายแรกที่เข้าร่วมโครงการ  
"The Giving Pledge" ประกาศว่าจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 50,000 ล้านหยวนให้การกุศล
ประวัติของเฉิน กวงเปียวเคยเป็นคนยากจนที่สุดมาก่อน เคยสูญเสียพี่น้องไปเพราะความอดอยาก
แต่พ่อแม่ไม่เคยสอนลูกๆให้เห็นแก่ตัว แต่สอนว่า คนดีคือคนที่รู้จักอดทนและมีน้ำใจ
เขาเคยกล่าวไว้ว่า "พ่อแม่ไม่ได้ทิ้งอะไรให้ผมเลย และผมก็ไม่ปรารถนาที่จะทิ้งอะไรไว้ให้ลูกๆ
นอกจากความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ ซึ่งได้มาจากการทำงานการกุศล"
..



ท้ายสุดนิตยสาร Secret ได้เอ่ยถึงบุรุษผู้หนึ่งที่ชื่อ หม่า หยง ชาวเมืองเวยไห่ อาชีพเป็น รปภ.
ซึ่งได้บริจาคเงิน 3 ใน 4 ของเงินเดือนของเขา คิดเป็นเงินไทยประมาณ 9,000 บาท ให้แก่เด็กและ
นักเรียนที่ยากจน 17 คน เป็นเวลากว่า 19 ปี รวมแล้วเป็นเงินถึง 2 ล้านบาท แม้ครอบครัวจะคัดค้านและพยายามให้เขาเลิกบริจาคเพื่อเก็บเงินไว้ใช้เองบ้าง แต่ รปภ.หม่าก็ตอบว่า
"แค่ผมมีอาหารกินอิ่มท้อง มีเสื้อผ้าอุ่นๆใส่ก็มีความสุขมากพอแล้ว"..

ผมขอยกตัวอย่างอริยชนอภิมหาเศรษฐีอีกท่านหนึ่งในสมัยครั้งพุทธกาล คือ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจาก
พระพุทธเจ้าว่า เป็นเศรษฐีผู้ใจบุญแก่คนยากไร้ ที่บริจาคทรัพย์สินหลายหมื่นกหาปนะ (สกุลเงินสมัยนั้น) อันเทียบค่ามิได้แก่ผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลน รวมทั้งได้บริจาคเงินเพื่อการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในด้านต่างๆให้เจริญรุ่งเรือง
จนทำให้ครั้งหนึ่งท่านหมดเงินจนกลายเป็นคนยากจนในช่วงระยะหนึ่งด้วย
ครั้งนั้นมีเทวดาในบ้านได้ปรากฏตัวออกมาเตือนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงการใช้เงินเพื่อการทำบุญนี้
ผลกลับกลายเป็นว่าเทวดาโดนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีไล่ตะเพิดออกจากบ้านไปเลยนะครับ..

นี่คือสุดยอดของคนใจบุญที่สมควรได้รับคำยกย่องและชื่นชมจากคนทั่วโลกอย่างแท้จริง
ขอขอบคุณนิตยสาร Secret ที่ได้รวบรวมเรื่องราวของมหาเศรษฐีอย่างนี้มาให้อ่านและผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับรู้กันผ่านคอลัมน์ประจำเว็บไซต์ของผมที่นี่อีกช่องทางหนึ่ง..

อ่านแล้วอิ่มบุญดีครับ !

หัสพงศ์ งานดี
polscicu@gmail.com



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แคมเปญโฆษณา "อะเมซิ่ง ไทยเท่" ด้วยเพลง "ยามรัก"

MUZU : ศิลปินคุณภาพคับแก้วของเมืองไทย

ผู้ว่าฯ ชัยวัฒน์ แบบอย่างข้าราชการติดดิน