เงื่อนไข 3 ข้อ ของพรรคประชาชน ที่ไม่ควรเกิดขึ้น

ผมเขียนบทความนี้ช่วงบ่ายสองโมงกว่าๆของวันอังคารที่ 2 กันยายน ยังไม่ทราบผลสรุปจากมติที่ประชุมพรรคประชาชนว่าจะตัดสินใจดำเนินการอย่างไรต่อไปในเรื่องการสนับสนุนพรรคการเมืองเพื่อโหวตเลือกผู้นำคนใหม่ ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ตามเงื่อนไข 3 ข้อ (ที่ประกาศออกไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง ฐานทำผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงฮุนเซน) 

คือ 1.ยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น 2.จัดทำประชามติ เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ และ 3.พรรคประชาชน จะไม่ร่วมรัฐบาลและไม่มีสมาชิกในพรรคหรือผู้แทนไปรับตำแหน่งใน ครม.

ทำให้พรรคขาใหญ่อย่างเพื่อไทยและภูมิใจไทย ใช้โอกาสสำคัญแข่งขันกันรวบรวมเสียง สส. เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฝ่ายที่รวบรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งชอง สส. หรือ เกินกว่า 246 คนขึ้นไปก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จตามกติกา

ว่าที่ผู้นำคนใหม่ คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของไทย ณ เวลานี้ ปรากฎฉายไฟส่องสว่างชัดไปที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะต้องเรัยกคะแนนเสียงจาก สส.ทุกพรรคให้หันมาสนับสนุนตนเองขึ้นเป็นนายกฯคนใหม่

ส่วนพรรคเพื่อไทย ผมยังไม่เห็นการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯอย่าง นายชัยเกษม นิติสิริ อย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที พรรคทำเหมือนงุบงิบ ปิดปากเงียบ ไม่มีความชัดเจน และหากไม่สามารถรวบรวม สส.ได้ตามเป้าด้วยแล้ว ก็ต้องย้ายกลับมาเป็นฝ่ายค้านอีกครั้ง เรื่องมันก็เลยเป็นแบบนี้

ใครจะคว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป? ก็ยากที่จะเป็นคำตอบเพราะมีตัวแปรที่หลากหลายทำให้การลงมติโหวตนายกฯต้องคิดหนักหลายตลบ

สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยกับพรรคประชาชนนับจากวันที่หัวหน้าพรรค นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ยื่นเงื่อนไข 3 ข้อ เพื่อจะตัดสินใจเลือกนายกฯ ที่ว่า ทำไมต้องรีบออกมาแถลงยื่นข้อเสนอออกสื่ออย่างรีบเร่งเกินไปหลังจากศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเสร็จสิ้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง (แม้จะเตรียมมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม)

แน่นอนว่าเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นให้ทั้ง 2 พรรคต้องยอมรับ มิเช่นนั้นจะได้รับการปฏิเสธจากพรรคประชาชน ซึ่งผมก็เชื่อว่าพรรคที่รับข้อเสนอตามเงื่อนไขต่างยอมรับได้ แต่เป้าประสงค์จริงๆของผู้กำหนดที่สำคัญกว่า คือ พรรคประชาชนเอง ที่ต้องการให้เพื่อไทยประกาศ “ยุบสภา” เพื่อให้มีการเลือกตั้ง คายอำนาจที่มีคืนแก่ประชาชนคนไทยได้ตัดสินใจรอบใหม่และเซทระบบใหม่

ผมขอสะท้อนมุมมองที่ให้เห็นภาพว่า คู่แข่งคนสำคัญของพรรค ปชน. คือ เพื่อไทย การเลือกตั้งที่ผ่านมา เมื่อปี 2566 เพื่อไทยได้คะแนนเสียงอยู่ในอันดับ 2 แต่ พรรคก้าวไกล (พรรค ปชน.ปัจจุบัน) ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ชนะท่วมท้น 14 ล้านเสียง แต่กลับตาลปัตร พรรคไม่สามารถจัดตั้งผู้นำรัฐบาลได้สำเร็จ ด้วยเหตุผลตามรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจการเลือกมาจากเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (สว.)เข้าไปด้วย 

จนทำให้เกิดการตระบัตสัตย์ของพรรคเพื่อไทย ที่หันมาจับมือกับขั้วอำนาจเก่าเพื่อจัดตั้งรัฐบาล กลายเป็นที่โจษจันกันทั้งประเทศ พรรคเพื่อไทยจึงได้เข้ามาบริหารจัดการประเทศได้อย่างน่าเอือมระอา

นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อไทย กำลังเจอมรสุมอย่างหนักหน่วง ขณะที่ครองอำนาจในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารทั้งตัวอดีตนายกฯ นางสาวแพทองธาร เอง ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆของประเทศได้เหมือนราคาคุย หนำซ้ำกลับสร้างปัญหาใหม่เข้ามาอีก

ทุกคนในพรรครวมทั้งคนที่ชักนำอยู่เบื้องหลังก็ดูหมดสภาพไปตามๆกันแล้ว หากเพื่อไทยรวบรวมเสียงจากพรรคร่วมและเสียง สส.คนอื่นๆได้ แถมมี พรรค ปชน. ยกมือเห็นชอบให้

คำถามคือ แล้วพรรค ปชน.ยังจะทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกด้วยเหตุผลทั้ง 3 ข้อกันไปทำไม?

ปล่อยให้เสื่อมสลายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?

การทำให้เพื่อไทย หมดอำนาจและไม่มีความชอบธรรมที่จะเข้ามาบริหารประเทศในฐานะแกนนำที่จะตั้งรัฐบาลต่อไปได้อีก แม้จะอยู่อีกไม่กี่เดือน ก็คงหมดลมหายใจนับถอยหลังสู่เหวลึกไปเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป

ยิ่งเจ้าของพรรคตัวจริงอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร หน้าดำคร่ำเครียดพยายามล็อบบี้ทุกอย่างเพื่อหาทางให้พรรคเพื่อไทย ได้อยู่ในอำนาจต่อ โดยร้องขอให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สนับสนุนพรรค ก็ถูกตอกหน้ากลับ ปฏิเสธอย่างเย็นชาว่า ให้ไปคุยกับหัวหน้าพรรคตัวจริงเอง ยิ่งน่าเวทนากันไปใหญ่ มนต์ขลังของทักษิณหมดสิ้นไปเลยก็ว่าได้

ธนาธร รวมทั้งพลพรรค ปชน. คงจำฝังใจไม่ลืม นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วร่วมกับพรรคลุงๆ

กลับมาพูดถึงเรื่องการสร้างเงื่อนไขเพื่อร่วมโหวตนายกฯของพรรค ปชน.

ผมก็เชื่อว่าบรรดาผู้ที่ชื่นชอบพรรคก็คงจะเสียอารมณ์ตามๆกันไปไม่น้อย เพราะทำใจไม่ได้ที่พรรค ปชน. จะเทคะแนนเสียง สส. ทั้ง 143 คน ไปอุ้มชุ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หน.พรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

เพราะโดยแท้จริง และ โดยพฤติกรรมที่ผ่านมา ทั้งพรรค ปชน. และพรรค ภท. เป็นพรรคที่อยู่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง พรรค ปชน. เป็นพรรคที่พยายามผลักดันให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าฉบับปัจจุบัน 

แต่พรรค ภท. ได้สกัดกั้นทุกวิถีทาง จนยืดเยื้อมา 2 ปี รวมทั้ง สว.สายสีน้ำเงินที่เป็นตัวถ่วง ทำให้เกิดประเด็นข้อสงสัยว่า พรรค ภท. จะไม่ยอมเป็นรัฐบาลแค่ในเวลาอันสั้น คือ 4 เดือน ในขณะที่เวลาจริงยังเหลืออีกเป็นปีกว่า

และผมก็ไม่เชื่อว่าจะไม่ผลักดันการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงด้วย

นี่ยังไม่นับรวมคดีฮั้ว สว. และ คดีเขากระโดงของพรรคภูมิใจไทยที่มีความหม่นๆติดตัวอยู่

หากการยกมือโหวตนายอนุทินเป็นนายกฯตามเงื่อนไขของพรรค ปชน. จึงมองว่าเป็นความอ่อนประสบการณ์ของแกนนำพรรค ปชน. เอามากๆ และอาจส่งผลต่อการลงสนามเลือกตั้งครั้งหน้าอีก 4 เดือนด้วย หากต้องการจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพราะอีกไม่กี่เดือนก่อนเลือกตั้งจริง หากนับไปอีก 4 เดือน สส.แกนนำคนสำคัญทั้ง 25 คน จะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินกรณีร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข มาตรา 112

ถึงตอนนั้นสัญญาที่ให้ไว้และให้จำของพรรคภูมิใจไทยคงหมดค่าลงโดยปริยาย

ที่ผมหวังใจและอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดคือ การประกาศยุบสภาของพรรคเพื่อไทยในฐานะรัฐบาลรักษาการ ซึ่งมีอำนาจยุบสภาอยู่แล้ว รัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็ไม่ได้ห้ามนายกฯรักษาการออก พระราชกฤษฎีกายุบสภาแต่อย่างใด และจะเป็นไพ่ใบสุดท้ายในมือ เพื่อให้จัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน หากไม่อยากให้พรรคถูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 

และที่สำคัญการเมืองก็มาถึงซอยตันที่จะขับเคลื่อนกันเพื่อไปต่อไม่ได้แล้ว ทั้งความเชื่อมั้นและความศรัทธาที่ประชาชนคนไทยมีต่อพรรคการเมืองแทบจะทุกพรรค การยุบสภาเป็นทางออกเดียวที่จะผ่าทางตันการเมืองประชาธิปไตยได้

ผมมองว่าพรรค ปชน. ที่มีคะแนนเสียง สส. มากที่สุดในสภา เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจจะโหวตให้ฝั่งไหนจัดตั้งรัฐบาล และเป็นความปรารถนาอันสูงสุดที่พรรคอยากให้ยุบสภาโดยเร็วที่สุด

หากพรรค ปชน.ไม่เอาตัวเองเป็นสะพานให้พรรคใดจัดตั้งรัฐบาลได้

การอยู่นิ่งๆ โดยไม่ต้องตั้งเงื่อนไข 3 ข้อสำคัญ จะทำให้ทั้ง 2 พรรคเหล่านั้น ไม่สามารถรวบรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งได้ จะดียิ่งเสียกว่าอีกเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ จะเกิดแรงกดดันให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ไม่ต้องเสียเวลารอเป็นหลายเดือน

พรรค ปชน.อย่างกังวลไปว่าจะเกิดการจับขั้วกันของเพื่อไทยและภูมิใจไทย เพราะสถานการณ์ที่เกิดเรื่องราวขึ้นระหว่าง 2 พรรค ณ ปัจจุบันแทบจะขาดสะบั้นกันแล้ว

อยู่นิ่งๆ เฉยๆจะทำให้พรรค ปชน.ไม่ต้องถูกวิจารณ์ พรรคจะยังคงขาว สะอาดใส ไม่มีข้อที่จะให้ถูกโจมตี คนที่ชื่มชอบพรรคก็ไม่ต้องมาด่าว่าหรือทะเลาะกันเอง

การโหวตคะแนนเสียง สส. 143 คน โดยไม่ขอร่วมเป็นรัฐบาล ไม่ส่งคนเป็นรัฐมนตรี มีแต่จะเกิดความเสียเปรียบอย่างเต็มประตู

สิ่งที่ควรทำอย่างจริงจังและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้ประชาชนไทยรับรู้ นั่นคือ รวม สส.ในพรรคเรียกร้องและกดดันเพื่อไทยให้ยุบสภา โดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อต่อรองใดๆ เป็นดีที่สุดครับ

เงื่อนไข 3 ข้อไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยประการทั้งปวง

หัสพงศ์ งานดี

polscicu@gmail.com

ความคิดเห็น